02 149 5555 ถึง 60

 

กรมสุขภาพจิต ประสานความร่วมมือหน่วยงานและองค์กรผลิตแพทย์ ตั้งเป้าแก้ปัญหาสุขภาพจิต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแพทย์ไทย

วานนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2567) กรมสุขภาพจิตจัดประชุมการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตในนิสิต/นักศึกษาแพทย์ และ วิชาชีพแพทย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มแพทย์ โดยเฉพาะการป้องกันการ ฆ่าตัวตาย พร้อมมุ่งเป้าบูรณาการประเมินดูแลช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เข้าร่วมประชุมหลายหน่วยงาน อาทิเช่น แพทยสภา แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท สมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย โรงเรียนแพทย์ทั้ง 23 แห่ง ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายนวัตกรรมการศึกษาและสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายในนิสิตนักศึกษาแพทย์ถึงแม้จะไม่มีข้อมูลสถิติแน่ชัดแต่ก็มีข่าวออกมาเรื่อยเรื่อยเนื่องจากนิสิตนักศึกษาแพทย์จะมีปัญหากดดันหลายเรื่อง เช่น การปรับตัวต่อการเรียน การปรับตัวต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ การปรับตัวต่อรุ่นพี่และอาจารย์ ซึ่งกรมสุขภาพจิต ได้ร่วมมือกับคณะแพทย์ศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนานวัตกรรมระบบ DMIND ในระบบหมอพร้อม เพื่อให้คำปรึกษาผู้ประสบปัญหาโรคซึมเศร้า โดยคัดกรองผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า ในแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม แม่นยำ เข้าถึงง่าย ใช้สะดวก ช่วยลดภาระ ซึ่งการพัฒนาระบบดูแลสุขภาพจิตนิสิต นักศึกษาแพทย์ และแพทย์ ต้องใช้ข้อเสนอแนะจากภาคเครือข่ายและมีการดำเนินการเร่งด่วนเพื่อค้นหา เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงและ การป้องกันฆ่าตัวตาย โดยใช้ทั้งระบบปกติและระบบออนไลน์ รวมทั้งจำแนกความรุนแรงเพื่อวางแผนการดูแลรักษา ติดตามเฝ้าระวัง อย่างสม่ำเสมอ การพัฒนานอกจากนี้ ระบบเพื่อนช่วยเพื่อน พัฒนาอาจารย์เพื่อช่วยเหลือเด็ก รวมทั้งพัฒนาระบบการเก็บข้อมูล การฆ่าตัวตาย หรือพยายามฆ่าตัวตายของนิสิต ต่อด้วย DMIND นักศึกษาแพทย์ รวมทั้งวิชาชีพมีความสำคัญเพื่อให้เกิดแผนร่วมกัน ในการดูแลปัญหานี้

นายแพทย์จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เนื่องจากอัตราการฆ่าตัวตายประชาชนอายุ 20-59 ปี สูงขึ้น จากปี 2563 คือ 9.34 ต่อแสน เป็น 9.78 ต่อแสน ในปี 2566 จากการวิเคราะห์เหตุปัจจัยการฆ่าตัวตาย ปีงบประมาณ 2566 พบว่า ประมาณร้อยละ 30 ป่วยโรคทางกายเรื้อรัง และโรคจิตเวชร้อยละ 21.1 ใช้แอลกอฮอล์ ร้อยละ 13.7 เคยทำร้าย เพียง 1 ใน 4 ของคนใกล้ชิดได้รับสัญญาณเตือนก่อนฆ่าตัวตาย โดยพบเป็นคำพูดหรือส่งข้อความมากที่สุด นิสิตนักศึกษาแพทย์ และแพทย์ เป็นวิชาชีพสำคัญในการดูแลคนเจ็บป่วยที่เผชิญกับความเครียด ความกดดัน และความคาดหวังจากการปฏิบัติงานสูง โดยในระยะสั้นกรมสุขภาพจิตจะร่วมมือกับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์ฯ พัฒนาศักยภาพให้นิสิต/นักศึกษาแพทย์ เพื่อให้การดูแลโดยเพื่อน และร่วมมือกับโครงการ ร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท และวิศวะ แพทย์ จุฬา คัดกรองซึมเศร้าฆ่าตัวตายในนักศึกษาแพทย์ ร่วมมือกับแพทยสมาคมฯ หาทุนวิจัยให้สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์ทำวิจัยปัญหาสุขภาพจิตในนิสิต/นักศึกษาแพทย์และจะมีการวางแผนระยะยาวต่อไป

นายแพทย์ธรณินทร์ กองสุข ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การฆ่าตัวตาย ในวิชาชีพแพทย์ รวมถึงนักศึกษาแพทย์ แพทย์ใช้ทุน แพทย์ประจำบ้าน ข้อมูลที่เก็บได้มีน้อยกว่าความเป็นจริงมาก แต่ในกรณีที่เกิดขึ้น ได้ศึกษาจนพบว่า พฤติกรรมการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง มีปัจจัยกระตุ้น ด่านกั้นล้มเหลว และปัจจัยปกป้องอ่อนแอ จึงนำไปสู่การฆ่าตัวตาย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเกิดจากประสบปัญหาชีวิตหรือมีเหตุการณ์วิกฤติที่คิดว่าพ่ายแพ้ ล้มเหลว อาการทางจิตกำเริบ พิษจาก สารเสพติด ข่าวการฆ่าตัวตาย ซึ่งมีข้อเสนอแนวคิดว่าควรมีการ 1. เฝ้าระวังสังเกตสัญญาณเตือน 2. เข้าหาพูดคุยและรับฟัง 3. ประเมินสถานการณ์วิกฤติเร่งด่วนและตอบสนองอย่างฉับไว 4. ให้ความช่วยเหลือทันทีและส่งต่อผู้เชี่ยวชาญ

1 February 2567

ที่มา กลุ่มสื่อสารและประชาสัมพันธ์ สำนักวิชาการสุขภาพจิต

Posted By ITDMH

Views, 140

 

Preset Colors