เพิ่มทักษะสังคม "ลูกสมาธิสั้น" ด้วยประชาธิปไตย ห้ามปล่อยปละละเลย
เพิ่มทักษะสังคม "ลูกสมาธิสั้น" ด้วยประชาธิปไตย ห้ามปล่อยปละละเลย
สถาบันสุขภาพจิตเด็กฯ ภาคใต้ วิจัยพบ เลี้ยง "ลูกสมาธิ" แบบประชาธิปไตย ส่งเสริมเด็กคิดอิสระ แก้ปัญหาด้วยตนเอง แนะสิ่งที่ถูกและผิด ช่วยเพิ่มทักษะสังคม ความเชื่อมั่นในตนเอง ชี้เลี้ยงแบบปล่อยปละละเลย ทำคุมตัวเองไม่ได้ นำไปสู่ปัญหาร่วมอื่นที่รุนแรงขึ้น
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคสมาธิสั้น หรือไฮเปอร์มีลักษณะเฉพาะ 3 ด้านคือ ขาดสมาธิ ซุกซน อยู่ไม่นิ่ง และหุนหันพลันแล่น ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การเรียน การเข้าสังคมอยู่ร่วมกับคนอื่น หากจัดการปัญหาไม่ถูกวิธีจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงขึ้น ผลสำรวจของกรมสุขภาพจิตปี 2555 พบนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-5 มีอัตราป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นร้อยละ 8.1 หรือประมาณ 470,000 คนทั่วประเทศ การรักษาที่ได้ผลดีที่สุดคือการใช้ยาร่วมกับการปรับพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม แต่ปัญหาเรื่องการเข้าสังคมเป็นเรื่องที่รักษายากซับซ้อนกว่า โดยทักษะสังคมที่จะต้องสร้างให้เด็กสมาธิสั้นเพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมอย่างมีความสุข มี 7 ด้าน ได้แก่ ความเชื่อมั่นตนเอง การควบคุมตัวเอง การจัดการปัญหาที่ถูกต้อง การเรียนรู้สิ่งใหม่ การสื่อสารกับคนอื่น การสร้างสัมพันธภาพคนอื่น และการแก้ไขความขัดแย้ง ซึ่งทักษะสังคมเหล่านี้ได้มาจากการฝึก การปลูกฝังและรูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ จากผลการวิจัยของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ในกลุ่มเด็กอายุ 6-12 ปี ที่เข้ารักษาในปี 2559-2560 จำนวน 221 คน พบว่า รูปแบบการเลี้ยงดูเด็กสมาธิสั้นที่สัมพันธ์กับทักษะสังคมในด้านความเชื่อมั่นในตัวเองของเด็กที่สุดคือการเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย
พญ.หทัยชนนี บุญเจริญ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้พบว่า ครอบครัวของเด็กส่วนใหญ่ร้อยละ 56.4 จะเลี้ยงแบบประชาธิปไตย คือการเลี้ยงด้วยความรัก ให้ความอบอุ่น ส่งเสริมให้เด็กมีอิสระทางความคิด ตัดสินใจและแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตนเอง โดยพ่อแม่คอยให้เหตุผลส่งเสริมทำให้สิ่งที่ถูกต้อง ห้ามทำในสิ่งที่ผิด ผลการวิจัยพบว่าเป็นรูปแบบการเลี้ยงดูที่สัมพันธ์กับความเชื่อมั่นตัวเองของเด็ก ซึ่งส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออก สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้น จึงเชื่อว่าหากครอบครัวเลี้ยงดูเด็กสมาธิสั้นแบบประชาธิปไตย จะเอื้อต่อประสิทธิภาพของการดูแลรักษาได้ผลดีมากขึ้น
พญ.ทหัยชนนี กล่าวว่า ส่วนการเลี้ยงดูอีก 3 รูปแบบที่พบในการศึกษาครั้งนี้คือ การเลี้ยงดูแบบรักตามใจ เด็กทำตามสิ่งที่อยากทำไม่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์พบร้อยละ 5.7 การเลี้ยงดูแบบใช้อำนาจควบคุม พ่อแม่กำหนดกฎเกณฑ์ ออกคำสั่งให้ทำตาม หากไม่ทำตามก็จะลงโทษพบร้อยละ 30.8 และการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลยไม่สนใจความเป็นอยู่ของลูก เด็กขาดความใส่ใจ ไม่ได้รับความช่วยเหลือพบร้อยละ 7.1 ซึ่งการเลี้ยงดูที่มีความสัมพันธ์ในแง่ลบกับทักษะสังคมของเด็กสมาธิสั้นมากที่สุดคือ การเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลย ซึ่งสาเหตุอาจเป็นเพราะเด็กขาดคำแนะนำที่เหมาะสมในการจัดการปัญหาหรือการแก้ไขความขัดแย้ง อีกทั้งยังขาดแบบอย่างที่ดีในการใช้ชีวิตในสังคมจากผู้ที่ใกล้ชิดและสำคัญกับเด็กที่สุดคือ ครอบครัว ทั้งนี้ ผลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าในเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีเพียงร้อยละ 31 เท่านั้นที่มีปัญหาสมาธิสั้นบกพร่องเพียงอย่างเดียว ที่เหลืออีกร้อยละ 69 จะมีปัญหาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปัญหาบกพร่องด้านการเรียนรู้ การประสานของกล้ามเนื้อที่ไม่ดี ดื้อต่อต้าน เป็นต้น ดังนั้น หากเด็กสมาธิสั้นขาดทักษะที่จำเป็นในการอยู่ร่วมกับสังคมด้วย อาจทำให้ปัญหาต่างๆ รุนแรงขึ้น และเกิดความเครียดในครอบครัวเพิ่มขึ้น
25 June 2561
ที่มา ผู้จัดการ ออนไลน์
Posted By sty_lib
Views, 658