02 149 5555 ถึง 60

 

ดูแลใจด้วยการปล่อยวาง ชีวิตคิดบวกเมื่อวัยเกษียณ

ดูแลใจด้วยการปล่อยวาง ชีวิตคิดบวกเมื่อวัยเกษียณ

เป็นผู้หญิงเก่งอีกหนึ่งคนในแวดวงการพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเด็ก อย่าง ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล ในวัย 63 ปี ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา “OKMD” หรือ “สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)” และที่ปรึกษา “TK Park” สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ ซึ่งงานที่เจ้าตัวทำที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบันนั้น ถือเป็นงานที่น่าสนใจ ที่สำคัญช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ความสามารถผ่านรูปแบบการอ่านหนังสือสำหรับเด็ก ตลอดจนการบริการของห้องสมุดไอทีสำหรับเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย รวมถึงการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กในรูปแบบต่างๆ ผ่านการอบรมเสวนา ในการให้คำแนะนำเด็กจากผู้เชี่ยวชาญต่างๆ หรือมีกิจกรรมเสริมทักษะเด็กใหม่ๆ เข้ามาอยู่ตลอดเวลา งานนี้ ดร.ทัศนัย แง้มว่า เมื่อเข้าสู่วัยหลัก 6 เจ้าตัวยังคงทำงานอยู่ แต่ก็จะเริ่มรับงานให้น้อยลง และหันมาดูแลสุขภาพควบคู่กันไป เพราะสุขภาพดีเป็นสิ่งทำให้เราสามารถที่จะทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปได้

ดร.ทัศนัย เล่าให้ฟังว่า “ตอนนี้อายุ 63 ปี อย่าง 64 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงทำงานอยู่ค่ะ เพียงแต่จะรับงานให้น้อยลง เพื่อที่จะได้มีเวลาในการดูแลสุขภาพให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการปล่อยวาง ไม่เครียดและพยายามทำในสิ่งที่เราอยากทำ เช่น เรื่องของ “การออกกำลังกาย” ที่จะเลือกทำแบบไม่หักโหม เช่น การการเดินให้ได้วันละประมาณ 2-3 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่เราสามารถทำได้ เพราะส่วนตัวไม่มีเวลาไปเข้าฟิตเนสสำหรับออกกำลังกาย ดังนั้นพี่ก็จะเลือกใช้วิธีการเดินรอบหมู่บ้าน และชมนกชมไม้ค่ะ

นอกจากนี้ก็จะใช้เวลาว่าง “ทำสวนครัว” ที่นอกจากได้ออกกำลังกายแล้ว ยังถือเป็นการทำงานบ้านไปด้วยในตัว โดยผักที่ปลูกก็จะมีทั้งไม้ดอกไม้ประดับและผักสวนครัว แต่ที่ชอบมากที่สุดคือการปลูกส้มจี๊ด ที่ตอนนี้กำลังออกผลมาก และส้มจี๊ดยังสามารถนำมารับประทานได้ ดังนั้นประโยชน์อีกข้อหนึ่งสำหรับการทำสวน คือการที่เราได้ความภาคภูมิใจเมื่อเราเห็นผลไม้ที่เราปลูกออกผลค่ะ”

ที่ปรึกษา “OKMD” บอกอีกว่า แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน แต่ก็มีปัญหาเรื่องความดันโลหิต ดังนั้นอาหารที่เลือกรับประทานก็จะพยายามเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง แต่ทั้งนี้ก็จะไม่ซีเรียสมากจนเกินไป แต่ก็จะพยายามไม่รับประทานอาหารมื้อดึก และในส่วนการดูแลจิตใจนั้น นอกจากเรื่องของการปล่อยวางแล้ว ก็จะใช้เวลาไปกับการท่องเที่ยว

“อันที่จริงแล้วเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณนั้น การปล่อยวางสิ่งรอบตัว และมีความสุขกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เป็นหนทางสร้างความสบายกายสบายใจอย่างหนึ่งค่ะ ดังนั้นเมื่อวัยเกษียณมาถึง สิ่งหนึ่งที่พี่ทำคือการท่องเที่ยว เพราะตอนที่ทำงานอยู่ไม่มีเวลาเที่ยวมากนัก แต่นี้ก็พยายามหาเวลาว่างเที่ยวทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงค่ะ และอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้จิตใจของเราผ่อนคลาย คือการที่เรานัดเจอเพื่อน โดยเฉพาะเวลาที่เราได้คุยกันแบบสนุกสนาน ไม่ใช่เรื่องของการทำงาน มันจะทำให้สมองของเรานิ่ง ไม่เครียด และทำให้ผ่อนคลายมากๆ เวลาที่นัดเจอเพื่อน

อีกทั้งวิธีสร้างความผ่อนคลาย และทำให้สบายใจอีกอย่างของพี่ คือ “การเป็นจิตอาสา รพ.สงฆ์” คือพี่จะไปช่วยดูแลคนไข้ใน รพ. เช่น การไปพูดคุยและไปให้กำลังใจผู้ป่วย ซึ่งถ้าว่างวันไหนพี่ก็จะไป โดยไม่ได้กำหนดจะต้องไปกี่วันต่อสัปดาห์ เพราะถ้าว่างก็ไปทันทีค่ะ สิ่งที่พี่ได้จากการเป็นจิตอาสาในครั้งนี้ คือความรู้สึกชื่นใจและรู้สึกว่าเรายังมีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งดีกว่าเมื่อเกษียณแล้วเราอยู่บ้านเฉยๆ”

ส่วนเรื่องการทำงานในช่วงวัยเกษียณนั้น ดร.ทัศนัย บอกว่า “ตอนนี้พี่เป็นที่ปรึกษาให้กับ “OKMD” หรือ “สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)” และที่ปรึกษา “TK Park” สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ โดยที่ “OKMD” เป็นองค์กรแม่ของ “TK Park” ในแต่ละสัปดาห์ก็จะทำงานอยู่ประมาณ 2-3 วัน ซึ่งหน้าที่ของเราก็จะคอยดูงานที่น้องๆ ทำ และก็คอยให้คำปรึกษาในฐานะที่เราเป็นรุ่นพี่ค่ะ ส่วนตัวพี่ไม่ซีเรียสสำหรับการทำงานในวัยหลัก 6 หากว่าร่างกายของเรายังทำไหว และหากสิ่งที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และสังคมโดยรวมก็ยินดีทำค่ะ”

อีกทั้งในฐานะที่ ดร.ทัศนัย เป็นคุณแม่ลูก 1 โดยเจ้าตัวมีลูกสาว 1 คน สิ่งที่อยากฝากไปยังคนรุ่นใหม่ อย่างการที่เด็กไม่เร่งกิน ไม่เร่งใช้ นั่นยอมทำให้ไม่เหนื่อย และอยู่ได้อย่างมีความสุข “สิ่งที่เป็นห่วงเด็กยุคใหม่ คือการที่เราต้องไม่คิดมากไป เพราะปัจจุบันปัจจัยโลกภายนอก หรือสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันค่อนข้างร้อนขึ้น ประกอบเราอายุมากแล้วก็คงไม่ต้องคิดถึงตัวเองมากนัก แต่เป็นห่วงคนรุ่นใหม่ที่อยากให้ตระหนักถึงภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะการใช้พลาสติกที่เป็นอันตรายต่อโลก แต่แม้ปัจจุบันจะมีการตื่นตัวในเรื่องนี้ โดยการเริ่มใช้ถุงพลาสติกน้อยลงก็ตาม ที่สำคัญเด็กยุคใหม่สามารถที่จะประคองให้โลกนี้อยู่ได้ โดยการไม่เร่งกิน ไม่เร่งใช้ เพื่อให้คนรุ่นลูกหลานอยู่ได้ง่ายขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นคนรุ่นต่อไปก็จะอยู่ยากขึ้น ทั้งนี้จึงอยากเด็กยุคนี้มองย้อนกลับไปในขณะที่เรายังเล็กอยู่ สิ่งแวดล้อมรอบตัวในการใช้ชีวิตนั้น เป็นคนละเรื่องกับปัจจุบันเลย ดังนั้นจึงอยากให้คนรุ่นหลังและรุ่นต่อๆ ไปนั้น อยู่ด้วยการอย่างเข้าใจ พูดคุยกัน และกินใช้ทุกอย่างแบบพอเพียง หรือไม่เร่งกิน ไม่เร่งใช้ทรัพยากรทุกอย่างมากไป ซึ่งนั่นไม่เพียงทำให้คุณอยู่ได้ แต่จะอยู่แบบมีความสุขอีกด้วย”.

27 December 2562

ที่มา ไทยโพสต์

Posted By Nitayaporn/thongpet/kanchana/Maneewan

Views, 934

 

Preset Colors