02 149 5555 ถึง 60

 

เตรียมให้พร้อมก่อน-หลังฉีดวัคซีนCOVID-19

เตรียมให้พร้อมก่อน-หลังฉีดวัคซีนCOVID-19

ในปัจจุบัน การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ยังไม่มีท่าทีว่าจะลดลง ยังคงมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในทุกวัน การฉีดวัคซีนแม้ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ทั้งหมด แต่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้มีอาการรุนแรงได้ ดังนั้นทุกคนจึงควรเข้ารับการฉีดวัคซีน COVID-19 โดยต้องศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวให้พร้อมทั้งก่อนและหลังการฉีด เพื่อจะได้คลายความกังวลและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง

รศ.พญ.พรรณพิศ สุวรรณกูล อายุรแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ คลินิกอายุรกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า การฉีดวัคซีน COVID-19 แม้ว่าอาจจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ความรุนแรงจากเชื้อ COVID-19 ที่เข้าสู่ร่างกายเราลดลง ซึ่งในเดือนมิถุนายนนี้ ช่วงเริ่มของการฉีดมีวัคซีนที่รัฐจัดสรรให้จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ 1. AstraZeneca จากประเทศอังกฤษ เป็นวัคซีนที่ใช้สารพันธุกรรมของโควิดไวรัสใส่เข้าไปในตัวฝาก (Viral Vector) ใช้ไวรัสของชิมแปนซีไม่ก่อโรคในคน แล้วทำการตัดแต่งไวรัสเวคเตอร์ โดยจะส่งสารพันธุกรรมของโควิด-19 ให้ร่างกายกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อโควิด-19 2. Sinovac จากประเทศจีน เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated Vaccine) ผลิตจากการนำอนุภาคเชื้อไวรัสที่ตายแล้วมาฉีดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านเชื้อ ข้อดีคือ มีความปลอดภัยสูง ใช้กับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ โดยวัคซีนทั้ง 2 ชนิดควรฉีดจำนวนทั้งสิ้น 2 เข็ม วัคซีน AstraZeneca ควรฉีดห่างจากเข็มแรก 10-16 สัปดาห์ ขณะที่วัคซีน Sinovac ควรฉีดห่างจากเข็มแรก 2-4 สัปดาห์

ก่อนฉีดวัคซีนจะต้องมีการเตรียมความพร้อมของร่างกาย แนะนำให้ดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้วัคซีนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด หากมีไข้สูงในวันนัดหมายฉีดวัคซีน ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน หากมีไข้ต่ำๆ หรือเจ็บป่วยเล็กน้อย สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ตามปกติ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว มีประวัติภูมิแพ้ หรือมีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน เพื่อที่จะสามารถขอคำแนะนำที่เหมาะสมได้

หากได้รับการฉีดวัคซีนแล้วมีอาการข้างเคียงหลังฉีด มักเป็นสัญญาณแสดงว่าร่างกายกำลังถูกวัคซีนกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป ไม่รุนแรง และหายได้เองในระยะเวลาไม่นาน เช่น เป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย มีอาการบวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีด แต่ถ้ามีอาการแพ้วัคซีน ในทางการแพทย์ เกิดจากการที่ร่างกายตอบสนองภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนมากกว่าปกติ ซึ่งนับว่าเป็นอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีน อาการที่พบอาจเกิดจากวัคซีนโดยตรง หรือไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโดยตรง นั่นคือ อาการทางจิตใจที่มักพบในกลุ่มผู้รับวัคซีนที่มีความเครียด กลัว กังวล เป็นต้น อย่างไรก็ตามถ้าเป็นวัคซีนที่ผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนแล้ว หากพบผลข้างเคียงรุนแรงจะอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก โดยอาการแพ้วัคซีนอาจพบได้หลังจากฉีดในช่วง 30 นาทีแรก คือ มีผื่นขึ้น ลมพิษ มีอาการคันบวมที่ใบหน้า ปาก หรือลำคอ หายใจติดขัด ความดันเลือดต่ำ คลื่นไส้ ปวดท้อง เป็นต้น

เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว หากมีไข้หรือปวดศีรษะ สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ หากมีผื่นลมพิษ ไข้สูงมาก หน้ามืด เป็นลม แขนขาอ่อนแรง เจ็บหน้าอก ให้พบแพทย์ทันที ข้อปฏิบัติของการฉีด ยังแนะนำให้ทุกคนสวมหน้ากาก ล้างมือให้บ่อย รักษาระยะห่างทางสังคม หากไปพื้นที่เสี่ยงหรือมีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยโควิด-19 ควรกักตัวอย่างน้อย 14 วัน ทั้งนี้ เมื่อฉีดวัคซีนครบตามนัดหมายทั้ง 2 เข็ม สามารถติดตามข้อมูลผ่าน “หมอพร้อม” นอกจากนี้ในผู้ที่เคยป่วยเป็น COVID-19 แม้ในร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้ออยู่แล้ว แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาของภูมิคุ้มกันที่จะสามารถป้องกันไวรัสได้ จึงควรได้รับวัคซีน โดยเว้นระยะห่างจากการติดเชื้ออย่างน้อย 3 เดือน และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน.

10 June 2564

ที่มา ไทยโพสต์

Posted By Thongpet/kanchana/Maneewan

Views, 1163

 

Preset Colors