02 149 5555 ถึง 60

 

3 เทคนิคพิชิต "เรียนออนไลน์" ช่วงวิกฤติ โควิด-19 ฉบับพ่อแม่รุ่นใหม่

3 เทคนิคพิชิต "เรียนออนไลน์" ช่วงวิกฤติ โควิด-19 ฉบับพ่อแม่รุ่นใหม่

ทำอย่างไรถ้าอยากให้การเรียน On Line ได้คุณภาพอย่างที่ควร 3 เทคนิคพิชิต "เรียนออนไลน์" ช่วงวิกฤติ โควิด-19 ฉบับพ่อแม่รุ่นใหม่

เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงวิกฤติทำให้ต้องล็อกดาวน์และใช้มาตรการเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมาตรการหนึ่งคือ Work From Home และรวมถึงการงดเรียน On Site ปรับเปลี่ยนมาเรียน On Line ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีเวลาอยู่บ้านกับเด็ก ๆ มากยิ่งขึ้น ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรใช้เวลานี้ให้เกิดประโยชน์ในการแก้ปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยที่สุด คือ การที่เด็ก ๆ ไม่ฟังคำพูดที่สอน ทั้งนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ต้องลองคิดทวนกันด้วยว่า “เรารับฟังลูกอย่างเพียงพอหรือยัง?”

ทำอย่างไร ถ้าอยากให้การเรียนออนไลน์ได้คุณภาพอย่างที่ควร

การรับฟังอย่างตั้งใจ และการพูดคุยแบบเปิด (Active - Open)

การฟัง และการพูดอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่การฟังและการพูด คือรากฐานของความสัมพันธ์ และการสร้างความไว้วางใจระหว่างพ่อแม่และลูก หากเราอยากให้ลูก ๆ ฟังและปฏิบัติตามสิ่งที่เราสอน ก่อนอื่นเราต้องทำให้ลูกรู้สึกไว้ใจ และกล้าที่จะเข้ามาพูดคุยปรึกษากับเรา การฟังลูกอย่างตั้งใจ จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่เราจะสามารถแสดงออกให้ลูกรับรู้ว่าเราเข้าใจและเราพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือลูก ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านอะไร ซึ่งการฟังที่ดีนั้น พ่อแม่ต้องให้ความใส่ใจ ความสำคัญ ความเข้าใจ กับทุกการสื่อสารของลูก ไม่ว่าจะเป็น คำพูด น้ำเสียง สายตา สีหน้า หรือ ท่าทาง และการฟังที่ดีนั้นไม่ใช่การฟังลูกไปดูทีวีไป อ่านไลน์เพื่อนไป ล้างจานไป เป็นต้น

ตัวอย่างคำพูดที่พ่อแม่ควรใช้ : เพื่อให้โอกาสลูกในการบรรยายอารมณ์ และความรู้สึก โดยการให้ความเข้าใจ เช่น

“ขอบคุณนะที่ไว้ใจแม่ / พ่อแล้วเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง”

“แม่ / พ่อเข้าใจนะว่าเรื่องที่ลูกเจออยู่ตอนนี้มันน่าโมโหขนาดไหน”

และการใช้คำถามแบบเปิด เพื่อให้ลูกๆ นั้นสามารถเล่าเรื่องราวของเขาได้มากขึ้น เช่น

“แล้วตอนนั้นลูกทำไงต่อหรอ”

“ลูกคิดว่ามีอะไรที่พ่อ / แม่ช่วยลูกได้ตอนนี้บ้าง”

“ลูกตั้งใจจะทำอะไรต่อต่อจากนี้หรอ”

“ลูกเจอปัญหานี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ”

“มีใครรู้เรื่องนี้บ้างนอกจากพ่อ / แม่?”

ตัวอย่างคำพูดที่ควรระวัง !!!

“เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องคิด”

“หยุดคิดได้แล้ว”

“ไม่เข้าใจ ร้องไห้ทำไม”

“ไม่จริง”

“ลูกต้องห้ามคิดแบบนั้น”

เพราะคำพูดเหล่านี้ คือ การปฏิเสธความรู้สึกและประสบการณ์ของเด็ก ซึ่งจะส่งผลให้เด็กไม่อยากเข้าหาหรือฟังคำสอนจากเรา

นอกจากนี้ การรับฟังอย่างตั้งใจและการพูดคุยแบบเปิดนั้น ยังสามารถปลูกฝังให้เด็กไม่เก็บกด และยังป้องกันไม่ให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงได้อีกด้วย

การสร้างวินัยไปด้วยกัน (Routine)

เมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์จากที่บ้าน สิ่งแรกที่พ่อแม่สามารถทำได้ ก็คือ การสร้างสิ่งแวดล้อม (Environment) ในห้องที่ลูกใช้เรียน Online เพื่อให้ลูกมีอารมณ์ในการเรียนให้ได้มากที่สุด หนึ่งในวิธีนั้นคือการสร้างวินัย หรือ กิจวัตร (Routine) ประจำวันในแต่ละสัปดาห์นั่นเอง

งานวิจัยหลายฉบับได้พิสูจน์มาแล้วว่าเด็ก ๆ จะทำงานหรือกิจกรรมใด ๆ ได้ดีเมื่อมีวินัยหรือ เป็นกิจวัตรที่สามารถทำตามได้ (Routine) และโอกาสที่เด็ก ๆ จะทำตาม Routine นั้นจะมีอัตราสูงขึ้น หากเด็กมีส่วนร่วมในการสร้าง Routine หรือกิจวัตรนั้น จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้การคุยแบบเปิดนั้นสำคัญมาก เพราะคุณพ่อคุณแม่จะได้ตกลงกับลูกอย่างเปิดใจว่า เวลาไหนคือเวลาที่ลูกจะไม่เล่นโทรศัพท์ ไม่เล่นเกมส์ ไม่ดู YouTube หรือดูทีวี หากลูกเชื่อว่าข้อกำหนดต่าง ๆ นั้นไม่เกินความสามารถของเขา โอกาสที่ลูกจะทำตามกฎที่เราร่วมกันสร้างก็จะสูงขึ้น

อีกสิ่งที่ควรมีในกิจวัตร คือการจัดสรรเวลา ประมาณ 10 - 15 นาที สำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนเวลาเรียนออนไลน์ เช่น การตรวจหรือเตรียมอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ หูฟัง ที่ชาร์จ รวมไปถึงการปิดทีวี การเก็บโทรศัพท์มือถือ และการเข้าห้องน้ำ ก่อนเริ่มเรียน

สุดท้าย คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ลืมที่จะอัปเดต กิจวัตร หรือ Routine นั้นกับลูกทุกอาทิตย์ โดยลูกควรมีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นหากมีอะไรยากไปหรือง่ายไป ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ค่อยมี Quality time หรือช่วงเวลาคุณภาพกับลูกเพียงพอ เพราะการสร้าง Routine เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำร่วมกับลูกได้โดยใช้เวลาไม่มาก และไม่กระทบกับกิจกรรมอื่นของครอบครัว

การดูแลการเรียนของลูกอย่างมีขอบเขต (Boundary)

เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านให้ความสำคัญกับการเรียนของลูก แต่สิ่งที่เราทุกคนต้องระวังคือการไม่ฝ่าขอบเขตของลูกจนทำให้ลูกเกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกจับผิด ความรู้สึกของการถูกจับผิดหลายครั้งอาจทำให้เด็กรู้สึกเหมือนกำลังถูกทำโทษอยู่ เด็กบางคนอาจจะมีความรู้สึกกลัว เช่น การกลัวว่าพ่อแม่จะไม่ภูมิใจ หรือกลัวว่าตัวเองจะไม่ดีพอในสายตาพ่อแม่ เมื่อความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นกับการเรียนบ่อย ๆ ความพยายาม และแรงจูงใจในการเรียนของเด็กอาจจะลดลง ซึ่งย่อมส่งผลต่อผลการเรียนของเด็กตามไปด้วย

ตัวอย่างคำพูดที่ควรระวัง !!!

“ลูกคนอื่นไม่เห็นขี้เกียจแบบนี้”

“ทำไมไม่ตั้งใจเรียนเหมือนเพื่อนคนนี้”

“ก็เล่นแต่เกมส์อ่ะสิ คะแนนถึงเป็นแบบนี้”

“ถ้าเพื่อนทำได้ดีกว่าเราก็แปลว่าเราพยายามไม่พอ”

ถึงแม้ว่าทุกการกระทำที่พ่อแม่ทำจะมาจากความเป็นห่วงลูก อยากให้ลูกได้ดี แต่ก็ควรต้องรอบคอบคำนึงถึงมุมมองของลูกด้วยเช่นกัน เพราะมีเพียงเส้นบาง ๆ ที่กั้นระหว่าง การที่ลูกจะมองว่า สิ่งที่เราทำ “คือความหวังดี” หรือ “คือการจับผิด” ซึ่งขึ้นอยู่กับทัศนคติ (Attitude) และวิธีการสื่อสารของคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง

5 August 2564

ที่มา คม-ชัด-ลึก

Posted By Thongpet/kanchana/Maneewan

Views, 1267

 

Preset Colors