02 149 5555 ถึง 60

 

เช็ก6 อาการของร่างกาย บอกสภาพจิตใจย่ำแย่

เช็ก6 อาการของร่างกาย บอกสภาพจิตใจย่ำแย่

เพราะสถานการณ์โควิดทำร่างกายเสี่ยงป่วยง่ายต้องป้องกันไว้ตลอดเวลา บวกกับต้องทำงานที่บ้าน การงานและเศรษฐกิจก็แย่ แต่ถ้ารอบตัวเราแย่แล้วจิตใจเราเป็นทุกข์หนักก็คงยิ่งพังไปใหญ่ เราจึงชวนมาเช็กอาการทางร่างกาย ที่บอกว่าจิตใจเราไม่ไหว จะได้รีบแก้ไขด่วนๆ

ด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด19 ที่ทำให้หลายคนลำบาก ยิ่งบางคนทำงานที่บ้านยิ่งรู้สึกยาก อึดอัด บรรยากาศไม่ได้ แต่ถ้ากายลำบากแล้วใจเรายังแย่อีก ก็จะยิ่งทำให้เราป่วยทั้งกายใจ ทำงานไม่ได้ ไม่มีเงินใช้กันอีก ฉะนั้นจึงชวนมาเช็กสภาพร่างกายที่บอกว่าเราไม่ไหว เพื่อจะได้รีบดูแลรักษาก่อนที่จะทุกข์ใจจนเกินเยียวยา

1. เครียดมากจนอาจซึมเศร้า หลายคนต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการทำงาน เพราะอาจต้องทำงานที่บ้าน โดนตามโดนสั่งงานตลอดเวลา ไม่มีช่วงเวลาการพัก แถมยังไม่มีที่ปรึกษาหรือมีคนให้ระบาย เพราะไม่ได้พบเจอกับใคร ยิ่งทำให้มีความเครียดหนักมากขึ้นกว่าเดิม วิธีแก้ไขคือหาสาเหตุและวิธีผ่อนคลาย โดยพยายามคิดบวกว่าเรายังดีที่มีงานทำ หาสาเหตุว่าเครียดเพราะอะไรและลองหาช่วงว่างหรือปลีกตัวหาเวลาผ่อนคลายความเครียดของตัวเอง เช่น ไปฟังเพลง ดูซีรีส์สักตอน เล่นกับสัตว์เลี้ยง ปลูกต้นไม้ ชาร์จแบตให้จิตใจสบายสมองปลอดโปร่งเพื่อไม่ให้ความเครียดสะสม

2. จิตใจว้าวุ่น ไม่มีสมาธิ ทำงานช้ากว่าเดิม

หากใครกำลังมีอาการสมาธิหลุด จิตใจสับสนไม่โฟกัสกับงานหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ควรพยายามตั้งสติ หรือเสาะหาบรรยากาศที่เหมาะกับการทำงาน ให้เราได้ทำสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จและมีคุณภาพ หากต้องทำงานที่บ้านก็ลองกำหนดเวลา สร้างวินัยให้ตัวเองไม่ว่อกแว่ก เช่น ไม่เปิดโทรศัพท์เล่น ไม่ดูทีวีไปหรือทำงานไป รวมถึงหากรู้สึกว่าทำงานที่บ้านไม่ได้ไม่มีสมาธิ อาจลองจัดบ้านและแบ่งพื้นที่ในการทำงานที่บ้านให้ชัดเจน และลองทำตารางเวลาในการทำงานและใช้ชีวิต เพื่อจะได้สร้างสมดุลการทำงานและการผ่อนคลาย ส่งผลให้จิตใจแจ่มใสจะได้มีสมาธิในการทำงานเพิ่มขึ้น

3. เหนื่อยง่ายกว่าเดิม ด้วยสถานการณ์ยุ่งยากบางคนอาจต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือบางคนอาจจะเสพข่าวโรคโควิดที่มีคนป่วยและเสียชีวิตทุกวัน ทำให้เหนื่อยทั้งงานเหนื่อยทั้งใจ จนทำให้รู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ซึ่งหากรู้สึกว่าเหนื่อยง่าย ร่างกายอ่อนเพลียต้องรีบหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร แล้วพยายามผ่อนคลายเรื่องนั้น พยายามปรับและแบ่งเวลาตัวเองไม่ให้เหนื่อยเกินไป เช่น ไม่ทำงานดึก ค่อยๆ คิดไม่เร่งรีบ หรือลองปรึกษาคนในบ้าน หาเวลาพูดคุยไม่ให้เกิดความเครียดจนเหนื่อยใจมากขึ้น

4. หงุดหงิดใจ คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง หากเราเริ่มพูดกับคนอื่นแล้วไม่เข้าใจมีการสื่อสารผิดพลาด นั่นแสดงว่าตัวเรากำลังมีปัญหาแล้ว ฉะนั้นให้กลับมาดูที่ตัวเอง ตั้งสติให้ดี คิดก่อนพูด ยิ่งช่วงนี้ต้องสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ หรือประชุมในระยะไกล ยิ่งต้องคิดก่อนพิมพ์เสมอ แต่หากรู้สึกตัวเองติดต่อผิดพลาดคุยไม่เข้าใจบ่อยๆ แนะนำให้โทรพูดคุยกัน สื่อสารกันให้มากขึ้น จะได้ไม่หงุดหงิดเพราะความเข้าใจผิดคิดไปเอง

5. หมด Passion ไม่มีแรงบันดาลใจ เกิดอาการนี้เมื่อไรจะทำอะไรคงติดขัด ฉะนั้นหากรู้สึกเบื่อหน่ายสิ่งที่ทำอยู่หรือขาดแรงบันดาลใจ ควรลองเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งเล่น พักผ่อนหรือทำงานในสถานที่อื่นๆ หาจังหวะเวลาทำอะไรที่เราชอบและรู้สึกผ่อนคลายเพลิดเพลิน เช่น ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ เล่นกับสัตว์ หรือจะลองไปท่องเที่ยวทิพย์ ดูภาพสวยงามตามประเทศต่างๆ หรือสถานที่ท่องเที่ยวในดวงใจทางออนไลน์ จะได้มีแรงบันดาลใจในการทำงานหรือทำสิ่งใหม่ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

6. เริ่มมีโรคภัยมาเยือน หากเริ่มป่วยไม่สบายถือว่าเป็นสัญญาณที่บั่นทอนพลังชีวิต ฉะนั้นหากป่วยต้องรีบกินยาหรือปรึกษาหมอ อย่าให้อาการป่วยลุกลามรุนแรงจนรักษาได้ยาก และต้องใส่ใจสุขภาพเราให้มากกว่าเดิม เช่น กินข้าวให้ตรงเวลา ไม่นอนดึกจนเกินไป ไม่ใช้สายตาหนัก หาเวลาพักผ่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคเรื้อรังจนอันตราย และที่สำคัญคือหากร่างกายเราแข็งแรงดี สุขภาพใจเราก็จะดีไปด้วย

...แต่หากลองเช็กสัญญาณร่างกายแล้วพบว่าเราเป็นทุกอย่างที่กล่าวมา รู้สึกซีมเศร้า เหงา มีอาการเครียดรุนแรง ควรระบายให้คนในครอบครัวฟังและหาโอกาสปรึกษาแพทย์ทันที อย่าให้ทุกอย่างทำร้ายร่างกายและจิตใจเรามากกว่านี้จนรักษาไม่หาย เพราะอาจกลายเป็นโรคทางจิตเวชและระบบประสาทร้ายแรงได้ ..

19 August 2564

ที่มา คม-ชัด-ลึก

Posted By Thongpet/kanchana/Maneewan

Views, 15847

 

Preset Colors