02 149 5555 ถึง 60

 

เราประเมิน Omicron ต่ำไปหรือเปล่า? มันอาจก่อวิกฤตที่ร้ายสุด

เราประเมิน Omicron ต่ำไปหรือเปล่า? มันอาจก่อวิกฤตที่ร้ายสุด

ชี้โอมิครอนอาจนำไปสู่ "ระยะที่รุนแรงที่สุด" ของการแพร่ระบาด

• แม้ว่าผลการศึกษาหลายฉบับจะพบว่าโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอาจส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปเช่นนั้นได้ ดังนั้นเราจึงยังไม่สามารถวางใจได้ว่ามันจะไม่รุนแรง

• แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมากคือความสามารถในการแพร่กระจายของมัน นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของรัฐบาลสหรัฐและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อแนวหน้าของประเทศกล่าวกับ NBC News "มันจะ... โหมกระหน่ำไปทั่วโลก"

• นายแพทย์เฟาซีชี้ว่า "เมื่อมีการติดเชื้อจำนวนมาก แม้ว่าจะรุนแรงน้อยกว่าก็ตาม มันก็ไม่สำคัญแล้วว่าจะมีอาการเล็กน้อยหรือปานกลาง" (เพราะการติดเชื้อจำนวนมากจะทำให้การรักษายากขึ้น)

• แม้จะไม่มีข้อบ่งชี้ว่ามันรุนแรงไปกว่าเดลตา ซึ่งยังคงเป็นสายพันธุ์หลักในปัจจุบัน แต่การที่โอมิครอนมีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญยังคงกังวลว่ามันจะสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันไม่ว่าจะจากวัคซีนหรือการติดเชื้อครั้งก่อน

• ขณะนี้นอกจากจะพบว่าโอมิครอนมีความสามารถในการแพร่เชื้อสูงแล้ว ผลการศึกษาช่วงแรกยังแสดงให้เห็นว่าโอมิครอนสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น กล่าวคือ แอนติบอดีจากวัคซีนหรือการติดเชื้อครั้งก่อนมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อเจอโอมิครอน จึงมีแนวโน้มที่จะมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากรวมถึงโอกาสติดเชื้อซ้ำเป็นไปได้มากขึ้นด้วย หลายประเทศจึงเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน

• Vox ระบุว่าโอมิครอนอาจนำมาซึ่ง "ระยะที่อันตรายที่สุด" ของการแพร่ระบาด ซึ่งอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐมากกว่าช่วงฤดูหนาวที่แล้วถึง 20%

• ขณะนี้สหรัฐพบผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่าโอมิครอนที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วอาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อทำลายสถิติ และจะตามมาด้วยการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นไปได้ว่าอาจนำไปสู่ระยะที่รุนแรงที่สุด

• เช่นเดียวกับแอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และเดนมาร์ก ซึ่งมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยบางพื้นที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าแอฟริกาใต้รายงานว่าการรักษาตัวในโรงพยาบาลน้อยกว่าการแพร่ระบาดระลอกที่แล้วมาก แต่สหราชอาณาจักรกลับมีผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพิ่มขึ้นประมาณ 30% ต่อสัปดาห์

• โอมิครอนดูเหมือนจะแพร่กระจายได้ง่ายกว่าเดลตาที่เคยครอบงำทั่วโลกเมื่อปีก่อน ตามการประมาณการของสหราชอาณาจักรระบุว่าโอมิครอนสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ 25% ถึง 50%

• ขณะที่นักระบาดวิทยาและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกำลังส่งเสียงเตือนเกี่ยวกับคลื่นยักษ์ของการแพร่ระบาดอีกครั้ง โดยเซลีน กูนเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลสหรัฐเตือนว่า "โอมิครอนอาจถึงตายได้พอๆ กับเดลตา แม้ว่ามันจะทำให้เกิดอาการรุนแรงไม่เท่าก็ตาม" โดยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบสาธารณสุขหากมีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นเป็นจำนวนมาก

• ขณะนี้โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังเล่นงานหลายประเทศในยุโรปอย่างหนัก รวมถึงสหราชอาณาจักรซึ่งมีผู้ติดเชื้อพุ่งเป็นประวัติการณ์ขณะที่โอมิครอนกลายเป็นสายพันธุ์หลักในลอนดอน นอกจากนี้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโอมิครอนในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นเป็น 12 คนแล้ว

• รายงานชี้ว่าตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดอาจดีขึ้น เนื่องจากโลกมีวัคซีนและยารักษาโควิด-19 แล้ว และหลายประเทศก็ได้ระดมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้วเช่นกัน ประกอบกับสายพันธุ์โอมิครอนที่อาจไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์เดลตา หรืออาจเข้าสู่ระยะที่เลวร้ายที่สุดก็เป็นได้ เนื่องจากโอมิครอนทำให้ผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นในหลายประเทศ ประกอบกับฤดูหนาว และเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองอย่างคริสต์มาสและปีใหม่

• อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยโดยมหาวิทยาลัย Imperial College London พบว่า ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อซ้ำจากสายพันธุ์โอมิครอนมีสูงกว่าสายพันธุ์เดลตา 5.4 เท่า และความรุนแรงของสายพันธุ์โอมิครอนไม่ได้น้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา

• งานวิจัยระบุว่า "เราไม่พบหลักฐาน (ทั้งความเสี่ยงที่จะต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและสถานะของอาการ) ว่า โอมิครอนมีความรุนแรงต่างจากเดลตา" ทว่าข้อมูลเกี่ยวกับการเข้ารักษาในโรงพยาบาลยังค่อนข้างจำกัด และยังพบอีกว่า การปกป้องที่ได้จากการติดเชื้อครั้งก่อนหน้าต่อการติดเชื้อซ้ำด้วยสายพันธุ์โอมิครอนอาจมีเพียง 19% เท่านั้น

22 December 2564

ที่มา โพสต์ทูเดย์

Posted By Thongpet/kanchana/Maneewan

Views, 366

 

Preset Colors