นักวิจัยเจาะสาเหตุ ทำไมเชื้อโอมิครอนรุนแรงน้อยลง
นักวิจัยเจาะสาเหตุ ทำไมเชื้อโอมิครอนรุนแรงน้อยลง
ผลวิจัยล่าสุดที่ทำการทดลองในสัตว์ พบสาเหตุที่เชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนไม่ทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรง เนื่องจากเชื้อไม่มุ่งทำลายปอดเหมือนกับเชื้อกลายพันธุ์ที่ผ่านๆ มา
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยโดยความร่วมมือกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐฯ และชาวญี่ปุ่น ที่สังเกตอาการป่วยของเชื้อโอมิครอนในแฮมสเตอร์และหนู เพื่อเร่งหาคำตอบความรุนแรงของเชื้อโอมิครอน
นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างกำลังเร่งศึกษาเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอน ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันให้แน่ชัดอีกครั้งว่าเชื้อโอมิครอนแตกต่างจากเชื้อกลายพันธุ์ที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง เพื่อหาทางรับมือกันต่อไป
งานวิจัยชิ้นล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ต่อสาธารณะใน In Review ครั้งนี้ เป็นงานวิจัยโดยความร่วมมือกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐฯ และชาวญี่ปุ่น ที่สังเกตอาการป่วยหลังจากได้รับเชื้อโอมิครอนในแฮมสเตอร์และหนู จนพบว่าสาเหตุที่เชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนไม่ทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรง เนื่องจากเชื้อตัวนี้ไม่ได้มุ่งทำลายปอดเหมือนกับเชื้อกลายพันธุ์ที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะเชื้อเดลตาที่เป็นสายพันธุ์ที่ระบาดหลักก่อนหน้านี้ โดยเชื้อจะอยู่บริเวณทางเดินหายใจตอนบนเป็นส่วนใหญ่ และพบเชื้อโอมิครอนในปอดเพียง 1 ใน 10 หรือน้อยกว่าเชื้อตัวอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังพบปริมาณของไวรัสในจมูกของหนูทดลองกว่า 100 ตัวลดน้อยลงด้วย ซึ่งการค้นพบปริมาณไวรัสที่ต่ำกว่าที่คาดครั้งนี้ อาจจะทำให้เชื้อโอมิครอนมีโอกาสในการกลายพันธุ์ในระดับที่สูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อกลายพันธุ์ตัวอื่น นอกจากนี้ การที่พบว่าเชื้อโอมิครอนไม่ทำอันตรายกับแฮมสเตอร์มากนักก็เป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้ทีมวิจัยด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อกลายพันธุ์โควิดที่ผ่านๆมา จะพบระดับปริมาณของเชื้อไวรัสในแฮมสเตอร์ในระดับที่สูงในทุกๆ สายพันธุ์
แม้ผลการทดลองจะออกมาไม่ตรงกับที่คาดการณ์ไว้ แต่ผลการทดลองครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่ยืนยันงานวิจัยชิ้นอื่นๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า เชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนมีความสามารถในการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยไม่รุนแรงมาก อย่างไรก็ตาม นักวิจัยชี้ว่า ผลการทดลองก็ยังถือว่าอยู่ในวงจำกัดเกินกว่าจะสรุปภาพรวมได้ เนื่องจากใช้แฮมสเตอร์และหนูเป็นตัวทดลอง และยังคงต้องการข้อมูลและเวลาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลที่แน่ชัดอีกครั้ง พร้อมระบุถึงปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการทดลอง และส่งผลต่อการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอน ก็คือจำนวนประชากรที่มีภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการฉีดวัคซีนที่เพิ่มสูงขึ้น และการติดเชื้อก่อนหน้านี้
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา กลุ่มนักวิจัยหลายสิบกลุ่ม รวมถึงกลุ่มของ ดร.ราวินทรา กุปตา นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ต่างเร่งศึกษาและวิจัยเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนในห้องแล็บ ที่มีผลต่อเซลล์ในจานทดลอง รวมทั้งการพ่นละอองไวรัสเข้าไปยังจมูกของสัตว์ทดลอง เพื่อดูว่าเชื้อไวรัสจะทำปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง ซึ่งการทดลองต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าเชื้อโอมิครอนมีความรุนแรงน้อยกว่าเชื้อเดลตา แม้ว่าอัตราการติดเชื้อและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ผู้ป่วยก็มีอาการป่วยรุนแรงน้อยลง
นอกจากงานวิจัยชิ้นล่าสุดนี้แล้ว ก็ยังมีงานวิจัยจากนักวิจัยของมหาวิทยาลัยฮ่องกง ที่ได้ผลการวิจัยออกมาคล้ายๆ กัน โดยงานวิจัยดังกล่าวเป็นการศึกษากับเนื้อเยื่อทางเดินหายใจของมนุษย์ ที่เก็บออกมาในขณะทำการผ่าตัด โดยจากตัวอย่างเนื้อเยื่อของปอดทั้ง 12 ตัวอย่าง พบว่า เชื้อโอมิครอนเติบโตได้ช้ากว่าเชื้อเดลตาและเชื้อกลายพันธุ์ตัวอื่นก่อนหน้านี้ด้วย ขณะที่การทดลองกับเนื้อเยื่อบริเวณหลอดลมส่วนบน พบว่า 2 วันหลังจากการติดเชื้อ เชื้อโอมิครอนเติบโตได้เร็วกว่าเชื้อเดลตา และเชื้อโควิดแบบดั้งเดิม และแน่นอนว่าการค้นพบครั้งนี้ ก็ยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม อย่างการทดลองกับลิง หรือมีการตรวจดูทางเดินหายใจของผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน หากผลออกมาเช่นเดิมก็จะเป็นการยืนยันแน่ชัดได้ว่าทำไมผู้ป่วยที่ติดเชื้อโอมิครอน ถึงมีอาการป่วยไม่รุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเหมือนกับการติดเชื้อเดลตา
อย่างไรก็ตาม แม้ผลการศึกษาที่ออกมาจะช่วยหาคำตอบได้ว่า ทำไมเชื้อโอมิครอนทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยไม่รุนแรง แต่ก็ยังคงมีอีกหลายคำถามตามมา เช่น ทำไมเชื้อไวรัสตัวนี้สามารถแพร่กระจายและติดต่อได้รวดเร็วมาก โดยทราบเพียงว่าเชื้อตัวนี้สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี ทำให้ง่ายต่อการเข้าไปยังเซลล์มากกว่าเชื้อสายพันธุ์อื่น แม้ว่าผู้รับเชื้อจะเป็นผู้ที่รับวัคซีนแล้วก็ตาม อย่างที่เริ่มเห็นเคสในหลายประเทศที่มีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มทำลายสถิติ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มีผู้ติดเชื้อหลักครึ่งล้านต่อวัน ซึ่งหากสามารถค้นพบคำตอบเหล่านี้ได้ จะช่วยให้การป้องกันโรคทำได้ดียิ่งขึ้น.
6 January 2565
ที่มา ไทยรัฐ
Posted By Thongpet/kanchana/Maneewan
Views, 561