02 149 5555 ถึง 60

 

เพิ่มพลังชีวิต... สู่ความสงบเย็นและสร้างสรรค์

11 HEALTHY LIFESTYLE เพิ่มพลังชีวิต... สู่ความสงบเย็นและสร้างสรรค์

เรื่องโดย นายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน

โรคหัวใจหลอดเลือดและทรวงอก อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาทพญาไท 2

พลังชีวิตและวิธีเพิ่มพลังชีวิต

“พลังชีวิต” ภาษาจีนเรียกว่า “ซี่” ภาษาอินเดียเรียกว่า “ปราณา” ภาษาไทยยังไม่มีศัพท์บัญญัติ แต่ก็นิยมใช้คำว่า “พลังชีวิต” กันทั่วไป นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับหลักวิชาแพทย์ไม่เกี่ยวอะไรกับหลักฐานวิทยาศาสตร์ เพราะทั้งหลักวิชาแพทย์และหลักฐานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่นับว่าพลังชีวิตมีอยู่จริง เนื่องจากมันชั่งตวงวัดไม่ได้ แต่หมอสันต์กำลังบอกว่า พลังชีวิตมีอยู่จริงและเราใช้ประโยชน์จากมันได้

ทั้งนี้จากประสบการณ์ของตัวเอง ท่านอย่าเพิ่งรีบ “ไม่เชื่อ” หรือรีบ “เชื่อ” เพราะแบบนั้นจะเป็นความงมงายทั้งคู่ แต่ให้ท่านจัดมันอยู่ในเรื่องที่ท่านยัง “ไม่รู้” ไว้ก่อน รอจนท่านมีประสบการณ์ด้วยตัวเองแล้วท่านค่อยสรุปว่ามันมีหรือไม่มีอยู่จริงก็ได้

นิยาม “พลังชีวิต”

ของบางอย่างนิยามเป็นภาษาไม่ได้ แต่ก็ต้องนิยาม ไม่งั้นสื่อกันไม่ได้เลย พลังชีวิตก็คือพลังงานในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือนที่ประกอบขึ้นเป็นชั้นหนึ่งของชีวิต ที่แม้ตาจะมองไม่เห็น หูจะฟังไม่ได้ยิน แต่จิตสำนึกรับรู้สามารถรู้สึก (feel) ถึงมันได้ใน 2 รูปแบบ คือ แบบที่หนึ่ง เป็นความรู้สึกทางร่างกาย เช่น ความรู้สึกวูบวาบร้อนผ่าว ซู่ๆ ซ่าๆ จี๊ดๆ จ๊าดๆ เหน็บๆ ชาๆ เจ็บๆ คันๆ ใจเต้น เป็นต้น แบบที่สอง เป็นความรู้สึกทางใจ เช่น ตื่นเต้น กระดี๊กระด๊า ระริกระรี้ ถูกจริต มหัศจรรย์ อยากรู้อยากเห็น เปิดรับอ้าซ่า

ที่ผมบอกว่าพลังชีวิตเป็นชั้นหนึ่งของชีวิต นี่เป็นการแบ่งชั้นของชีวิตให้แยกย่อยลงไปพ้นหลักวิทยาศาสตร์ที่แบ่งชีวิตออกเป็นแค่สองชั้นคือร่างกายและจิตใจ โดยวิทยาศาสตร์เหมาเอา (อย่างไม่มีหลักฐาน) ว่าจิตใจงอกออกมาจากสมอง แต่ทางจิตวิญญาณนิยมแบ่งว่าชีวิตนี้ประกอบด้วยชั้นต่างๆซ้อนทับกันอยู่เหมือนชั้นของหัวหอมหรือกระเทียมหลายชั้น บ้างนิยามว่ามีห้าชั้นบ้าง เจ็ดชั้นบ้าง แล้วแต่ว่าใครเป็นคนนิยาม ผมเองขอนิยามง่ายๆว่า ชีวิตแบ่งเป็น 4 ชั้นก็แล้วกัน คือ

1.ร่างกาย 2.พลังชีวิต 3.ความคิด 4.ความรู้ตัว

นี่เป็นคอนเซ็ปต์หรือสมมติฐานในภาพรวม เพื่อให้ง่ายต่อการคุยกันเฉยๆนะ เพราะในความเป็นจริงทั้งสี่ชั้นนี้แม้จะเป็นของคนละอย่างกัน แต่ก็ผสานเชื่อมต่อกันอย่างหาขอบเขตแยกจากกันให้เด็ดขาดชัดเจนไม่ได้

พลังชีวิตเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกับพลังงานภายนอก หรือที่นิยมพูดกันว่า “พลังจักรวาล” จุดเชื่อมโยงก็ได้แก่ ลมหายใจ น้ำ อาหาร สถานที่ แม้แต่บรรยากาศหรืออวกาศก็เชื่อมโยงพลังงานหากกันได้ พลังชีวิตเป็นตัวทำให้ ชีวิตดำเนินไปได้อย่างมีชีวิตชีวา ทำให้ร่างกายคงอยู่ เคลื่อนไหวเดินเหินทำอะไรได้ เมื่อพลังชีวิตค่อยๆมอด ชีวิตก็จะเริ่มไร้พลังที่จะทำอะไร เมื่อพลังชีวิตดับ ร่างกายก็ตายเน่าเปื่อยเป็นปุ๋ย ดังนั้นตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เราก็อยากให้มีพลังชีวิตแยะๆ จะได้มีชีวิตแบบมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกันก็สงบเย็น มีเรี่ยวมีแรงทำอะไรสร้างสรรค์ได้มากๆ

วิธีเพิ่มพลังชีวิต

วิธีเพิ่มพลังชีวิตทั้ง 11 วิธีที่ผมจะเล่าต่อไปนี้สรุปมาจากประสบการณ์ชีวิตของคนคนเดียวคือตัวผมเองนะ ท่านเอาไปลองปฏิบัติดูได้ แต่จะได้ผลอย่างที่ผมทำแล้วได้ผลหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่ถ้าไม่ลองดูเองบ้างแล้วจะมีโอกาสได้รู้ไหมล่ะ

1. จงใจเลือกทำอะไรใหม่ อะไรใหม่ๆที่นำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แค่จงใจตั้งใจทำอะไรใหม่ พลังชีวิตก็จะบู้มขึ้นมาทันที ทั้งนี้ประเด็นย่อย 4 ประเด็นคือ

1.1 ต้องเลือกอะไรที่ท่านชอบ (passion) คืออะไรที่ถูกจริต ทำให้ท่านกระดี๊กระด๊า ดลบันดาลความตื่นเต้นให้ท่านได้เห็นจะจะ อาศัยความรู้สึกถึงพลังงานในร่างกายเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่อาศัยเหตุผล ตรงนี้ต้องระวังนิดหนึ่งว่าสัญชาตญาณของสัตว์ที่มีอยู่ในตัวเรา เช่น ความอยากมีเซ็กซ์ก็เป็นพลังงานเหมือนกัน เมื่อเราฟังพลังงานในร่างกายเราต้องระวังสัญชาตญาณของสัตว์ปลอมมาด้วย ต้องดีดส่วนนี้ทิ้งไปก่อน

1.2 เมื่อลงมือทำต้องทำอย่างสุดจิตสุดใจ ทำอย่างสุดฝีมือ จดจ่ออยู่ที่การกระทำ นิ่ง แน่วแน่ จริงจัง ภาษาเหนือเรียกว่า “หนิมพิ่ว” คือดำเนินไปอย่างรวดเร็วถูกจังหวะจะโคน แต่เนียนและละเอียดมากจนมองจากภายนอกเหมือนหยุดนิ่งเหมือนลูกข่างที่หมุนเร็วจี๋แต่มองเหมือนตั่งปักอยู่อย่างนิ่งสนิท วิธีทำงานแบบนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า Focus on Process

1.3 อย่าไปพะวงถึงผลลัพธ์ว่าจะได้ จะเสีย จะสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร เรียกว่า Zero Result คือทำโดยยอมรับว่าผลของมันอาจจะเป็นศูนย์ไว้ก่อน ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ขอให้ได้ทำ ผมเคยไปเยี่ยมเนิร์สซิ่งโฮมของฝรั่ง ที่ห้องกิจกรรมเขาเขียนม็อตโต้แปะไว้ข้างฝาว่า “Focus on enjoyment, not achievement” นั่นแหละ วิธีการทำงานที่จะเพิ่มพลังชีวิต

1.4 ทำเสร็จแล้วเฉลิมฉลองทุกครั้ง เช่น สมมติตั้งใจว่าเมื่อเสร็จกิจจากโถส้วมแล้วจะซ้อมท่านั่งยอง (squat) หนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องจิ๊บมาก แต่พอทำเสร็จแล้วอย่าลืมเฉลิมฉลอง ฮ่า...ทำได้ละ การเฉลิมฉลองทำให้พลังชีวิตเดินทางครบรอบวงของมัน ซึ่งจะทำให้มันแกร่งขึ้นๆ ไม่รู้จบ นี่เป็นกลเม็ดที่จะใช้สร้างนิสัยใหม่สำเร็จที่แรงกว่าการไปหวังพึ่งความบันดาลใจ ซึ่งเป็นความคิดที่มักมีลักษณะเป็นไฟไหม้ฟางที่มักจะมอดดับเร็วไปหน่อย

ทุกเช้าตื่นขึ้นมาให้ถามตัวเองว่าวันนี้ตื่นมาทำไม วันนี้จะทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำสักอย่างได้ไหม อาจจะเป็นอะไรเล็กๆ เช่น รดน้ำต้นไม้ที่ไม่เคยรดมันเลยมานานแล้วสักครั้ง ไม่ว่าจะทำอะไรกก็ทำให้ครบสี่องค์ประกอบข้างต้น จบด้วยการเฉลิมฉลอง

2. ถอยความสนใจออกมาจากความคิด มาสนใจพลังชีวิตแทน สนใจรับรู้ความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่าบนผิวกายให้บ่อยๆ หรือเกือบจะตลอดเวลา เรียกว่าขยันทำ Body Scan ขยันทำกิจกรรมที่ทำให้ได้รับรู้พลังชีวิต เช่น รำมวยจีน เป็นต้น เพราะความสนใจคือที่มาของอำนาจในชีวิต อะไรที่ความสนใจไปจดจ่อ สิ่งนั้นจะยิ่งใหญ่และสำคัญ ทุกวันนี้ความคิดช่างยิ่งใหญ่และสำคัญเสียเหลือเกิน เพราะเราปล่อยให้ความสนใจของเราไปขลุกอยู่ในความคิดตลอดเวลา ถ้าย้ายความสนใจมาจดจ่อที่พลังชีวิต พลังชีวิตก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นมาบ้าง

3. ยิ้ม หัวเราะ ผ่อนคลาย ขณะมีความคิดกล้ามเนื้อจะเกร็งตัวและมีไฟฟ้าวิ่งในเส้นประสาทมากจนกลบพลังชีวิตซึ่งเป็นไฟฟ้าระดับแผ่วเบาไปหมด เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว ไฟฟ้าในเส้นประสาทสงบลงจะรับรู้พลังชีวิตได้ง่าย การผ่อนคลายเริ่มที่การยิ้ม หัวเราะ ดังนั้นยิ้มและหัวเราะให้เป็นกิจวัตร ชีวิตนี้ในวันหนึ่งๆ ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่เป็นไร เพราะอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันนั้นมันเป็นเรื่องของอีโก้หรือความคิดอย่าไปให้ราคามันเลย วันๆขอให้ได้ยิ้มได้หัวเราะก็พอแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าเราได้พลังชีวิตเพิ่มขึ้น

4. ออกกำลังกาย นี่เป็นการเพิ่มพลังชีวิตโดยตรง

5. กินอาหารที่เพิ่มพลังชีวิต สำหรับพวกโยคีก็คืออาหารพืชผัก ผลไม้ ถั่วนัท ยิ่งอยู่ในสภาพสดยิ่งดี เพราะโยคีไม่กินเนื้อสัตว์ สำหรับคนที่กินเนื้อสัตว์ไม่ควรกินเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันใกล้เคียงกับเรามากเกินไป นอกจากจะย่อยยากแล้ว พวกโยคียังถือว่ามันมีความเสี่ยงที่จะก่อความสับสนต่อระบบร่างกายว่าอันไหนเป็นเนื้อเราอันไหนเป็นเนื้อเขา

6. อยู่กับน้ำ อยู่ใกล้น้ำ คลุกคลีกับน้ำ จุ่มน้ำ แช่น้ำ เที่ยวน้ำตก เพราะน้ำนั้นกระเพื่อมไหวไปตามคลื่นพลังงานภายนอกตลอดเวลา มันจึงเป็นตัวกลางส่งผ่านพลังงานที่ดี ในตัวเราก็มีน้ำเสียตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์ เวลาอาบน้ำที่เย็นกว่าอุณหภูมิร่างกายเรา เพื่อให้เราได้สัมผัสพลังชีวิตซึ่งเป็นความอุ่นจากภายในได้ง่าย เวลารู้สึกว่าพลังของผมลดลง ผมจะไปเดินคลองมวกเหล็กซึ่งมีน้ำตกเล็กๆ ลดหลั่นกันอยู่ทั่วไป นั่งสมาธิอยู่ตามโขดหินกลางธารน้ำตกสักห้านาที ก็จะกลับกระดี๊กระด๊าขึ้นมาได้

7. อยู่กับดนตรี เสียงเพลง เสียงดนตรีเป็นคลื่นความถี่ของพลังงานที่เป็นระเบียบทรงพลัง ซึ่งถือว่าดีกว่าคลื่นความคิดหรืออีโก้ของมนุษย์ซึ่งเป็นคลื่นสับสน เป็นลบมากกว่าเป็นบวก และไร้พลังข้อดีของดนตรีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความคิดหรืออีโก้ไม่ค่อยต่อต้าน เพราะอีโก้มันไม่ค่อยกลัวว่าดนตรี จะมาทำให้ตัวมันเองไม่ปลอดภัย มันมัวพะวงแต่จะไปต่อต้านความคิดของคนอื่นที่คุกคามตัวตนของมันมากกว่า เวลาใช้ประโยชน์จากดนตรีและเสียงเพลงอย่าไปเอาเนื้อหาที่เป็นภาษาพูดของเพลงมาเป็นสื่อกระตุ้นความคิดนะ นั่นเป็นการเลือกใช้ส่วนที่ไม่ดี การอยู่กับดนตรีนี้ทำไประดับหนึ่ง เสียงอะไรก็กลายเป็นเสียงดนตรีหมด

8. สูดลมหายใจลึกๆ รับเอาพลังมาเข้ามา หรือสูดกลิ่นที่ชื่นชอบ เช่น ก่อนดื่มกาแฟสูดกลิ่นกาแฟแล้วรับรู้พลังที่กลิ่นนั้นนำเข้ามาก่อน กลิ่นชักนำความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับอายตนะรับกลิ่นแทน หอมสำหรับบางคนอาจเหม็นสำหรับบางคน นี่ไม่ซีเรียส เอาที่เราชอบสมัยผมเด็กๆ ชอบไปยุ่งกับยายซึ่งมีน้ำหอมใช้ยี่ห้อเดียวคือน้ำมันมะพร้าว ผมก็เลยติดกลิ่นน้ำมันมะพร้าวว่าหอมดี แต่คนข้างๆดมแล้วทำ

จมูกฟุดฟิด อันนี้รสนิยมของใครของมันนะใครชอบกลิ่นอะไรก็สูดดมกลิ่นนั้นบ่อยๆ สูดเข้าไปแต่ละทีให้สูดลึกๆ รับเอาพลังงานเข้าไป ให้เต็มอิ่มพร้อมกับลมหายใจด้วย

9. พาตัวเองเข้าไปใกล้แหล่งพลังดีๆ ไม่ว่าจะเป็นคนบางคน หรือสถานที่บางแห่ง หรือธรรมชาติ แสงแดด ลมพัด อยู่กลางฝนโปรยปราย หรืออยู่ใกล้สัตว์บางตัว หรือสิ่งของบางชิ้น คืออะไรก็ตามที่อยู่ใกล้แล้วเรารู้สึกได้รับพลังงานดีๆ เวลาอยู่ในธรรมชาติให้เปิดรับเอาพลังงานเข้ามา กางมือออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

หากจำเป็นต้องไปอยู่ในสถานที่หรืออยู่ใกล้คนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ถูกจริตหรือรู้สึกแย่ ก็พยายามนั่งหรือยืนอยู่ห่างๆ พูดด้วยน้อยๆ อย่าไปมองหน้าเขามาก เพราะเวลาเรามองหน้าใครเรามักจะเผลอเลียนสีหน้าเขา แล้วอารมณ์ลบๆ ของเขาก็จะย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติ ยิ่งเราตั้งใจไม่เอามันยิ่งมาเร็ว

10. ถ้าจะคิดให้คิดบวก การไม่ยุ่งกับความคิดดีที่สุด แต่สำหรับคนที่ยังติดข้องอยู่ในความคิด เลิกยังไม่ได้ ถอนตัวไม่ขึ้น ก็ให้ใช้ประโยชน์จากความคิดเสียเลย คือ ให้มุ่งไปทางคิดบวก หนีความคิดลบเพราะความคิดบวกจะบ่มเพาะพลังชีวิตให้เป็นปึกแผ่นขึ้น เนื่องจากพลังงานที่แผ่คลุมไปทั่วที่เราเรียกว่าพลังจักรวาลนั้น ในแง่ของความคิดมันก็คือเมตตาธรรมนั่นเอง

โลกในทางจิตวิญญาณพื้นฐานของมันมีอย่างเดียวคือเมตตาธรรม ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ใครจะเข้าถึงเข้าไม่ถึงนั่นเป็นความแตกต่างในตัวแต่ละปัจเจกบุคคล หมายความว่า ความเมตตา ให้อภัย ขอโทษ ขอบคุณ นี่เป็นความคิดบวกที่จะเพิ่มพลังชีวิตให้เราได้ ความอิจฉาหรือทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นมีความสุขหรือการกลัวนั่นกลัวนี่ กลัวอนาคต กลัวอีโก้ของตัวเองจะอับเฉา นี่เป็นความคิดลบ การพิพากษาตัดสินว่าคนนั้นไม่ดีอย่างนั้น คนไม่ดีอย่างนี้ ประเทศไม่ดีอย่างนี้ ประเทศไม่ดีอย่างนั้น นี่ก็เป็นความคิดลบ ซึ่งชงขึ้นมาจากอีโก้ของเรา การหัดคิดบวกอาจเริ่มด้วยการหัดเขียนอะไรที่บวกๆ ในชีวิตหรือรายการที่สมควรขอบคุณในแต่ละวัน ขณะขับรถ หากจะใจลอยทั้งทีให้คิดถึงอะไรที่ทำให้ตื่นเต้นมีพลัง เช่น โอ้...สีรถคันนั้นเจ๋งนะ ฮ้า...ดูแม่กุมมือลูกน้อยที่ข้างถนนนั่นสิ...น่ารัก จะดูหนัง ดูคลิป อ่านหนังสือ ฟังพ็อดแคสต์ ก็ขอให้เลือกเอาแต่เรื่องบวกๆ

ไหนๆหากเป็นคนชอบยุ่งกับความคิดอยู่แล้ว ก็ให้พัฒนาตัวเองไปอีกขั้น คือให้หัดสอบสวนความคิดของตัวเอง ทุกความคิดที่โผล่ขึ้นมสอบสวนหมด ความคิดใครชงขึ้นมา เพื่ออะไร ความคิดไหนที่จับไต๋ ได้ว่าชงขึ้นมาโดยอีโก้ก็ตีทะเบียนไว้ว่าเป็นความคิดไร้สาระจากอีโก้ โผล่มาอีกทีจะได้ดีดทิ้งทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาไปขลุกด้วย สอบสวนความคิดเรื่อยไป ดีดทิ้งเรื่อยไป จนความคิดหมด ก็จะบรรลุธรรม

11.เพิ่มพลังชีวิตทันทีเดี๋ยวนี้ด้วยการควบคุมลมหายใจ นี่เป็นเทคนิคของพวกโยคี ซึ่งมี 2 องค์ประกอบย่อยที่ใช้ควบคู่กัน คือการหายใจให้มากกว่าปกติสลับกับการกลั้นหายใจ บางทีเรียกว่าการหายใจแบบสูบลม คือแรงและเร็วฟืดฟาดๆจนร่างกายเป็นด่างได้ที่ คือเบลอๆเหมือนจวนเจียนจะหมดสติแล้วหายใจเข้าเต็มปอด แล้วตามด้วยการกลั้นหายใจที่ปลายการหายใจเข้า กลั้นไว้ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะกลั้นได้ประมาณว่านับหนึ่งถึงร้อยอย่างช้าๆ จนร่างกายกลับเป็นกรดมากเกินไปและสมองเริ่มเบลอๆ อีกครั้งจนกลั้นต่อไม่ไหวก็ปล่อยลมออกจนหมด และแขม่วท้องไล่จนไม่เหลือลมในปอดเลย แล้วกลั้นหายใจในจังหวะปลายการหายใจเข้าต่ออีกครั้ง จนกลั้นไม่ไหวจึงค่อยปล่อยให้หายใจปกติ

การทำเช่นนี้จะปลุกตัวเองที่ง่วงๆ อยู่หรือปลุกถ่านที่กำลังจะหมดให้ตื่นขึ้นแบบว่างจากความคิดด้วยทันที ทำได้ทุกเวลาโดยเฉพาะขณะง่วงๆ เช่น ตอนขับรถหรือนั่งสมาธิ บางครั้งอาจกลั้นจนเหงื่อแตก บางครั้งอาจกลั้นมากจนร่างกายชักกระตุกด้วยก็ไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรซีเรียส เพราะกลไกระบบประสาทอัตโนมัติจะไม่ยอมให้ใครกลั้นหายใจจนตายได้ดอก ถึงเราไม่ยอมปล่อย แต่ระบบประสาทอัตโนมัติมีวิธีบังคับให้เราปล่อยจนได้ในที่สุด รับประกันว่าจะไม่มีใครมีอันเป็นไปเพราะฝึกเพิ่มพลังชีวิตด้วยวิธีนี้

พวกโยคีใช้เทคนิคการควบคุมลมหายใจเป็นเครื่องมือในการไล่ความคิดและหันความสนใจให้กลับหลัง จากนอกเข้าในเหมือนเต่าหดแขนขาหางและหัวเข้าในกระดอง หมายความว่า ภาพ เสียง กลิ่น รสสัมผัส และความคิดนั้นเป็นข้างนอก ส่วนความว่างดำดิ่งลึงลงๆนั้นเป็นข้างใน การดำดิ่งลึกลงๆ นี้เป็นการนำความสนใจฝ่าข้าม (transcendent) จากชีวิตในมิติที่มีการแปลงสิ่งเร้าทุกอย่างออกมาเป็นภาษาไปสู่มิติที่ไม่มีภาษา ไม่มีอีโก้ ไม่มีตัวตนสมมติใดๆ ทุกอย่างที่ปรากฏเป็นแค่คลื่นความสั่นสะเทือน ตรงนั้นเองจึงเป็นที่ที่ปัญญาญาณหรือญาณทัศนะเกิดขึ้น

ทั้ง 11 เทคนิคนี้คือวิธีการสร้างพลังชีวิตที่ผมแนะนำให้ทุกท่านทดลองปฏิบัติ แล้วก็จะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทำอะไรกเพลิดเพลิน มีพลังทำไม่รู้เบื่อหน่าย เป็นวิธีใช้ชีวิตแบบ “สงบเย็นและสร้างสรรค์” ซึ่งผมถือว่าเป็นวิธีใช้ชีวิตที่ดี

นิตสารชีวจิต 547 ปีที่ 23 วันที่ 16 กรกฎาคม 2564

12 October 2564

By STY/Lib

Views, 7188

 

Preset Colors