สุขอนามัย 11 ประการ เพื่อการนอนหลับที่ดี
สุขอนามัย 11 ประการ เพื่อการนอนหลับที่ดี
เรื่องโดย ดร.กภ.ธวัชชัย ลักเซ้ง
อาจารย์สาขากายภาพบำบัด สำนักวิชาสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
คนปกติจะนอนหลับเฉลี่ยวันละประมาณ 8 ชั่วโมง คงไม่ผิดนักที่จะพูดว่าการนอนหลับกินเวลาประมาณ 1 ใน 3 ของชีวิตของเรา
ถ้าคนเรามีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 75 ปีดังนั้น การนอนหลับ จะกินเวลาของชีวิตไปประมาณ 25 ปีเลยทีเดียว
คนที่นอนหลับง่ายก็คงจะไม่เกิดปัญหา แต่คนที่นอนหลับยากหรือนอนไม่หลับก็คงจะมีความทุกข์ไม่น้อยเช่นกัน
ภาวะนอนไม่หลับเป็นปัญหาที่พบได้ในทุกเพศ ทุกวัย ทุกอายุ ในทางการแพทย์สามารถพบภาวะนี้ได้ในวัยผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 30 และสามารถพบภาวะดังกล่าวได้บ่อยมากขึ้นเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นหรือในผู้ป่วยที่มีปัญหาเจ็บป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ โดยผู้ป่วยเหล่านี้จะมีปัญหาการนอนไม่หลับ และผลของการนอนไม่หลับทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ จิตใจเกิดความกังวล หรือมีผลต่อการคิดการตัดสินใจและการทำงานอาจจะทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาด หรือแม้กระทั่งหลับในเวลาที่ไม่ควรหลับ เช่น การงีบหลับในขณะขับรถ เป็นต้น ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว
วงจรการนอนหลับ
วงจรการนอนหลับสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วงการนอนหลับธรรมดาโดยที่ไม่มีการกลอกตา (non rapid eye movement, NREM sleep) และช่วงการนอนหลับที่มีการกลอกตา (rapid eye movement, REM sleep) ในการนอนแต่ละคืนก็จะมีวงจร NREM และ REM สลับกันไปจนกระทั่งตื่นนอน
● ช่วงการนอนหลับโดยที่ไม่มีการกลอกตา (NREM sleep) แบ่งออกได้เป็น 3 ระยะย่อย คือ
- ระยะที่ 1 (stage 1) เป็นระยะเริ่มง่วง เป็นช่วงที่เราจะหลับตื้นที่สุด
- ระยะที่ 2 (stage 2) ช่วงเคลิ้มหลับ เป็นช่วงรอยต่อระหว่างเริ่มหลับไปยังหลับลึก
- ระยะที่ 3 (stage 3) ช่วงหลับลึก ถ้าถูกปลุกในช่วงนี้จะตื่นยากมาก
● ช่วงการนอนหลับที่มีการกลอกตาหรือช่วงหลับฝัน (REM sleep)
-ช่วงนี้จะมีการกลอกของลูกตาอย่างรวดเร็ว และจะมีการฝันมากกว่าการนอนหลับในช่วงอื่นๆ คลื่นสมองจะคล้ายหรือใกล้เคียงกับตอนที่เราตื่น
“พบภาวะนี้ได้ในวัยผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 30 และสามารถพบภาวะดังกล่าวได้บ่อยมากขึ้น เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นหรือในผู้ป่วยที่มีปัญหาเจ็บป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ”
สุขอนามัย 11 ประการ เพื่อการนอนหลับที่ดี (sleep hygiene)
หากคุณผู้อ่านมีปัญหาด้านการนอน นอนไม่หลับ ลองทำตามคำแนะนำดังนี้
ไม่ทำกิจกรรมอื่นใดบนเตียงนอน ยกเว้นเรื่องนอนและกิจกรรมทางเพศ
ไม่ทำกิจกรรมที่หนักสมองก่อนเข้านอน เช่น คิดเรื่องงาน เป็นต้น
งดชา/กาแฟก่อนเข้านอน 6 ชั่วโมง รวมถึงการงดสุรา/บุหรี่ ก่อนเข้านอนด้วย
หลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร สมาร์ตโฟน ก่อนเข้านอน เนื่องจากจะทำให้ร่างกาย
ควรจะมีกิจกรรมที่ผ่อนคลายก่อนเข้านอน เช่น การอาบน้ำอุ่น หรือการอ่านหนังสือเบาๆ เป็นต้น
ถ้าเข้านอนไปแล้ว 10-15 นาทีแล้วยังไม่สามารถนอนหลับได้ ไม่ควรข่มตานอนหลับ แต่ให้ไปหากิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การอ่านหนังสือเบาๆ เมื่อง่วงนอนค่อยเข้านอนใหม่
ไม่ควรมีนาฬิกาบอกเวลาในห้องนอน
ควรใช้เวลาบนเตียงนอนให้น้อยที่สุดในแต่ละคืน
ควรตื่นนอนให้เป็นเวลาทุกวัน
ไม่ควรงีบหลับในช่วงกลางวัน (หากจะงีบควรงีบไม่เกิน 20-30 นาที) เพราะจะทำให้ไม่ง่วงตอนกลางคืนและคุณภาพการนอนหลับไม่ดี
การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยให้หลับได้ดี แต่ควรเว้นการออกกำลังกายในตอนกลางคืนเพราะจะทำให้นอนไม่หลับได้
โดยวงจรการนอนหลับจะใช้เวลาใน NREM ประมาณ 35% และ REM ประมาณ 25% จะนับเป็น 1 รอบของวงจรการนอนหลับ
“ในการนอนหลับแต่ละครั้งจะมีวงจรการนอนหลับประมาณ 4-6 รอบในแต่ละคืน”
เราจะทราบได้อย่างไรว่ากำลังตกอยู่ในภาวะนอนไม่หลับ
การนอนไม่หลับ หมายถึง การที่คนคนนั้นมีปัญหาในการเข้านอน ใช้เวลานานกว่าจะนอนหลับได้ หรือตื่นกลางดึกแล้วนอนต่อลำบาก ซึ่งรูปแบบของการนอนไม่หลับมี 3 ลักษณะ คือ
1. เข้านอนแล้วใช้เวลานานกว่าจะหลับ (มากกว่า 20-30 นาที)
2.ตื่นนอนกลางดึกแล้วใช้เวลานานกว่าจะหลับได้อีก (มากกว่า 20-30 นาที)
3.ตี่นนอนเร็วกว่าปกติ (เร็วกว่าเวลาปกติ 30 นาทีขึ้นไป) และนอนได้รวมระยะเวลาน้อยกว่า 6 ชั่วโมง
หากมีอาการดังกล่าว 3 วันต่อสัปดาห์ขึ้นไป จะถือว่าคุณอยู่ในภาวะนอนไม่หลับ โดย
นอนไม่หลับเป็นระยะเวลาต่อเนื่องน้อยกว่า 3 เดือน เรียกว่า ภาวะนอนไม่หลับชั่วคราว (short-term insomnia disorder)
นอนไม่หลับเป็นระยะเวลาต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือน เรียกว่า ภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic insomnia disorder)
หากคุณมีปัญหาการนอนไม่หลับ ควรจะรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อค้นหาถึงสาเหตุและวิธีการรักษาต่อไป ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้
หมอชาวบ้านฉบับที่ 512 ปีที่ 43 ธันวาคม 2564
21 December 2564
By STY/Lib
Views, 5161